ไดกิ้น จับมือ “เด็นโซ่” เซ็น MOU ติดตั้งโซลูชั่นอากาศสะอาด พร้อมร่วมแรงสร้างความยั่งยืน สู่เป้าหมายสูงสุด Net Zero ปี 2050

184
แชร์ Facebook Twitter

ไดกิ้น ผนึกความร่วมมือ “เด็นโซ่” (Denso) ลงนาม MOU ในงาน “DAIKIN x DENSO DRIVING THE SUSTAINABILITY FORWARD” ติดตั้งโซลูชั่นระบบปรับอากาศในพื้นที่ทำงานของบุคลากร ด้วยนวัตกรรมอากาศสะอาดที่มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ พร้อมช่วยสานปณิธานด้านความยั่งยืน จากการร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างความตระหนักให้สังคมร่วมแรงรักษาสิ่งแวดล้อม วางเป้าหมายระยะยาว ดำเนินงานสององค์กรร่วมสร้าง Net Zero ในปี 2050

นายอะคิโนริ อะตาราชิ ประธานกรรมการ และ นายนาโอโตะ เซคิดะ ประธาน บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ไดกิ้นและเด็นโซ่ เป็นองค์กรที่มีปณิธานเดียวกันคือมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน นั่นจึงทำให้บันทึกข้อตกลงหรือ MOU ฉบับนี้ เป็นเหมือนการขับเคลื่อนครั้งสำคัญเพื่อร่นระยะทางไปสู่เป้าหมายทั้งกับการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) รวมถึงผลลัพธ์สูงสุดในระยะยาว เพื่อไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ให้สำเร็จภายในปี 2050

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด และบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยทีมวิศวกรและทีมผู้เชี่ยวชาญจะร่วมกันกำหนดแผนและดำเนินการส่งมอบโซลูชั่นการจัดการระบบปรับอากาศที่ดีที่สุด ไปติดตั้งยังพื้นที่โรงงานของเด็นโซ่ เพื่อให้พนักงานทุกคนมีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ จากสภาพแวดล้อมอากาศสะอาด มีคุณภาพ ตามมาตรฐาน Perfecting the Air พร้อมต่อยอดเป็นโครงสร้างพื้นฐานนำร่องติดตั้งในโรงงานต่าง ๆ ของเด็นโซ่ทั่วประเทศต่อไป ซึ่งระบบโซลูชั่นดังกล่าว ได้รับการพัฒนาและสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองโจทย์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ เทคโนโลยี Inverter ที่ติดตั้งในเครื่องปรับอากาศทุกประเภทมีส่วนช่วยลดความสิ้นเปลืองพลังงาน และยังมีการพัฒนานวัตกรรม Daikin Max Inverter เพื่อมุ่งเสริมประสิทธิภาพการแปลงพลังงาน ที่ 93% ในปี 2025, เทคโนโลยี VRV System สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ ที่สามารถลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างครอบคลุม

อีกทั้งการ MOU ที่เกิดขึ้น ยังถือเป็นก้าวสำคัญที่สององค์กรได้ร่วมกันลดและป้องกันการสะสมของก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาที่กำลังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม อย่างการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสภาวะโลกร้อน ผ่านการใช้งานระบบโซลูชั่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอน หรือแม้แต่การเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นผลลัพธ์ของการสร้างความยั่งยืนในครั้งนี้

โดย ดร.ธีระวัฒน์ ลิมปิบันเทิง ประธานกรรมการ บริษัท สยาม เด็นโซ่ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ได้เปิดเผยว่า วิสัยทัศน์ของเด็นโซ่คือการมุ่งเป็นผู้พัฒนายานยนตร์สมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนโลก พร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับผู้คน นั่นจึงทำให้เราตระหนักดีถึงการแก้ปัญหาโลกร้อนซึ่งเกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเด็นโซ่ได้ดำเนินการนโยบาย GREEN AND PEACE OF MIND เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปกป้องสภาพภูมิอากาศของโลกใบนี้ ซึ่งบันทึกข้อตกลงร่วมกับ ‘ไดกิ้น’ ครั้งนี้ นับเป็นความร่วมมือสำคัญ ที่เด็นโซ่จะได้รับการสนับสนุนและพัฒนาระบบปรับอากาศที่มีคุณภาพ ประหยัดพลังงาน เหมาะสมกับการใช้งานในอาคาร รวมถึงร่วมมือในด้านการศึกษา แบ่งปัน และถ่ายทอดทักษะ-นวัตกรรมการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมบรรลุ Net Zero Emissions อันเป็นเป้าหมายสำคัญของสองบริษัทฯ ต่อไป

ด้าน นายไดสุเกะ มุราคามิ ประธาน บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ไดกิ้นตระหนักดีว่าความยั่งยืนในสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องที่จะสร้างได้ในวันเดียว รวมถึงไม่สามารถสำเร็จได้แค่จากการ MOU นี้ แต่ความมุ่งหวังสำคัญของไดกิ้นและเด็นโซ่ คือเราต้องการให้ผู้คนตระหนักรู้ถึงความรับผิดชอบ ตั้งแต่ตัวขององค์กรเองที่เป็นต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำคือผู้บริโภค ในการเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องเข้ามาร่วมแรงผลักดันเป้าหมายเดียวกันเพื่อสร้างความยั่งยืนให้สำเร็จผลในเร็ววัน โดยไดกิ้นมีแผนปฏิบัติทั้งในระยะสั้น คือในปี 2567 นี้ เราตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงกว่า 200 ล้าน kgCO2 เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ทดแทนกว่า 8 ล้านต้น ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ ใหม่อย่าง Daikin Max Inverter Star Series

“ส่วนในระยะยาว เรามีความมุ่งหวังที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี โดยไดกิ้นวางเป้าหมายลดลง 30% ในปี 2025 และลดลง 50% ในปี 2030 ไปจนถึงท้ายที่สุดคือการทำ Net Zero สร้างอากาศสมบูรณ์แบบรอบด้าน ให้สำเร็จภายในปี 2050”

     



บทความที่เกี่ยวข้อง